>> มุม





ห้าโมงสามสิบเจ็ดนาที เย็นวันศุกร์ บนตึกใหญ่กลางเมืองหลวง...


เสียง ringtone คุ้นหูดังขึ้นที่ด้านขวาของจอคอมพิวเตอร์
ทำลายสมาธิผมที่กำลังจดจ่อเร่งรีบอยู่กับการทำงานตรงหน้า
"เชี่ย..ใครโทรมาวะ ยิ่งรีบๆอยู่.." ผมสบถพร้อมกับมองที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ
มือของผมยังคงรัวอยู่ที่แป้นคีย์บอร์ด

TAO is calling...

"ไอ้เต่า !" ผมละมือจากแป้นคีย์บอร์ดทันที รีบกดรับและคว้าโทรศัพท์มาแนบหู เสียงปลายสายแทรกผ่านมาอย่างรวดเร็วทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดฮัลโหลด้วยซ้ำ
"ไอ้ภู! มึงอย่าลืมนัดเย็นนี้นะโว้ยย มึงอ่ะเบี้ยวหลายทีแล้วนะ"
"อ้าวว ไอ้เต่า กูยังไม่ทันได้พูดไรเลย มาเป็นชุดเลยนะมึง"
"ฮ่าๆๆๆ ก็มึงชอบเบี้ยวนัดนี่หว่า มึงรู้เปล่า กูกะโทรมาชวนมึงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าคราวนี้มึงเบี้ยวอีก กูก็จะไม่โทรมาชวนอีกแล้ว เปลือง! พวกไอ้อ๊อฟมันก็บ่นอยากก๊งกะมึงจะตาย.." ก่อนที่ไอ้เต่าจะร่ายยาว ผมรีบตัดบท
"เออน่าๆๆๆ ก็กูงานเยอะอ่ะ นี่กูก็ปั่นยิกๆๆ อยู่นี่มือไม่ได้ห่างแป้นเลยนะมึง กะว่า หกโมงปุ๊บกูออกปั๊บ"
"แล้วมึงจะมายังไง ไอ้ภูจะขับรถมาเหรอ"
"ไม่อ่ะ กูว่าเดี๋ยวกูนั่งรถเมล์ไปต่อรถไฟฟ้าดีกว่า ขากลับได้ติดรถมึงมาลงที่ออฟฟิศแล้วค่อยขับกลับ"
"เออ ก็ดี เพราะกว่ามึงจะมาถึงกูว่าหาที่จอดยากแน่ๆ"
"กูก็ว่างั้น เออ..ไอ้เต่าเดี๋ยวแค่นี้ก่อนกูรีบ"
"เออๆ เจอกันโว้ย"
"เออ"

วางหูจากไอ้เต่า ผมก็ก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ...ห้าโมงสี่สิบสองนาทีแล้ว ผมเริ่มรัวแป้นคีย์บอร์ดสะสางงานตรงหน้าต่อ
มีเวลาปั่นอีกแค่สิบกว่านาที แต่ดูจากเนื้องานแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ผมคงปิดงานนี้อย่างช้าก็ไม่เกิน หกโมงสิบห้า อย่างแน่นอน
เฮ้อ...เย็นนี้จะได้ไปสังสรรค์กะพวกมันซักที เปรี้ยวปากมาหลายอาทิตย์แล้ว เหตุจากผมเองที่งานเยอะ ไปร่วมวงกับพวกมันไม่ทันหลายครั้งแล้ว
ถ้าคราวนี้ไม่ทันอีก ไอ่เต่า..มันคงเลิกโทรหาผมอย่างที่มันว่าไว้แน่ๆ

"กริ๊งๆ กริ๊งๆ"
"สาดดด โทรศัพท์สายใน ใครโทรมาอีกวะ" ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือด้วยความร้อนรนพร้อมเอี้อมมือไปรับโทรศัพท์
"ภูริ เชิญที่ห้องผมหน่อยนะ"
"...ครับ..." เจ้านายโทรมาตามให้ไปที่ห้อง หวังว่าคงไม่เป็นอย่างที่ผมกังวลนะ
ผมเดินผ่านช่องทางเดินที่ถูกกั้นด้วยพาร์ทิชั่นสีฟ้าสดไปยังห้องผู้จัดการ นาฬิกาแขวนที่ผนังบอกเวลา ห้าโมงสี่สิบห้านาที

"เชิญนั่ง คุณภู"
"............."
"........."
"...."

ผมเดินเซ็งๆ ออกมาจากห้องเจ้านาย...
เปล่าหรอกครับ
ผมไม่ได้ถูกตำหนิเรื่องการทำงาน หรือเรื่องมาสาย
ตรงกันข้าม
ผู้จัดการกลับเรียกผมไปชมเรื่องงานที่ผมออกแบบไว้ด้วยซ้ำ
แต่ที่ผมเซ็งก็เพราะไอ้งานที่ถูกใจนี่แหละครับ
เจ้านายผมต้องใช้ในการประชุมที่เลื่อนมาเป็นเช้าวันเสาร์นี้กับฝ่ายบริหาร จากเดิมที่นัดไว้เป็นเช้าวันอังคาร
เนื่องจาก boss ใหญ่จะต้องเดินทางไปต่างประเทศกระทันหัน ในเช้าวันจันทร์
ผมจึงต้องจัดเรียงข้อมูลและไฟล์ multimedia สำหรับให้ผู้จัดการไว้ใช้ในการประชุมให้เสร็จภายในคืนนี้


ยิ่งคิดก็ยิ่งให้หงุดหงิด ทำไมต้องมาสั่งงานผมตอนใกล้เลิกงานด้วยนะ
นี่ผมจะต้องเลทนัดไอ้เต่าอีกแล้วหรือนี่?
ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผมต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ
ยิ่งคิดก็ยิ่งพาลอยากจะลาออก
ความจริงเนื้องานที่ต้องมาเตรียมมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ
ถ้ามีลูกมือคอยช่วยซักคน สองคน ไม่นานก็คงเสร็จ
แต่นี่กว่าผมจะออกมาจากห้องผู้จัดการก็เลิกงานแล้ว
และไอ้พวกน้องๆ draftman ก็ไม่มีใครอยู่แล้วด้วย
มันคงจะรู้ชะตากรรมตั้งแต่ที่ผมเดินเข้าไปในห้องผู้จัดการ มันถึงได้รีบชิ่งกลับกันแต่วันขนาดนี้

“เบื่อเว้ยยยยยยย”

นี่ถ้าไม่ได้หวังว่าโบนัสจะงอกเงยตอนปลายปีนะ เพื่อเอาเงินมาผ่อนรถ ผมคงไม่ทนหรอก
เบื่อจริงๆการทำงานล่วงเวลาแบบกระทันหันอย่างนี้

"แม่งเอ้ยย"

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ไล่ความหงุดหงิดออกไป ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากเท่าไหร่นักก็ตาม
ก่อนจะกดโทรศัพท์หาไอ้เต่า เล่าเหตุการณ์ให้มันฟังพร้อมรับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของมัน ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำงาน
“ เชี่ยยย อีกแล้วนะมึง”
“น่า ไอ้สาด คราวนี้กูไม่เบี้ยวน่า แค่เลทหน่อยนึง”
“แล้วมึงจะเสร็จกี่โมง”
“กูว่าไม่เกิน สามทุ่มครึ่งว่ะ พวกมึงแดกนำกันไปก่อนเลยเดี๋ยวกูสปีดตามได้”
“แน่นะมึง ไม่ใช่ตามมาตอนร้านปิดอีกนะ”
“เออน่าๆๆ กูรับรองๆๆ”


สองทุ่มสิบห้านาที
ป้าแจ๋มแม่บ้านเดินมาถามผมหลังจากที่แกคงสะสางงานในครัวของแกเสร็จแล้ว
“ยังไม่กลับอีกเหรอจ๊ะคุณภู”
“ครับป้า”
“งั้นป้ากลับก่อนนะ ฝากปิดไฟด้วยนะจ๊ะ”
ผมผงกหัวและยิ้มรับคำป้าแจ๋ม ในขณะที่มือยังคงสาละวนอยู่กับแป้นคีย์บอร์ด
ผมนั่งทำงานต่อมาอีกพักใหญ่ๆ ไฟล์ multimedia ใกล้เสร็จแล้ว เหลือแค่จัดเรียงและเขียนลงบนแผ่นซีดีเท่านั้น ส่วนเอกสารที่ต้องพริ้นต์เหลือเพียงแค่ไม่เกินสิบแผ่น
แต่เวลานี้เครื่องพริ้นเตอร์มันช่างทำงานช้าเหลือเกิน ไม่ทันใจผมเอาซะเลย
กดคำสั่งพริ้นต์งานล็อตสุดท้ายประมาณ 10 แผ่นไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเท่านั้น
ผมหลับตาลง เอนหลังไปสดตัวกับพนักเก้าอี้ และยืดแขนทั้งสองขึ้นสุดแขนเพื่อไล่ความเมื่อยและความเซ็งออกไปบ้าง ใจก็คิดด่า คนสั่งงาน กับเพื่อนร่วมงานไม่มีน้ำใจไปด้วย






























“คึ่กๆ ครืดดดดดดด คึ่ก”
กระดาษแผ่นสุดท้ายถูกฟีดออกมาจากเครื่องพริ้นต์แล้ว ผมลืมตาขึ้นเดินไปหยิบรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมารวมใส่แฟ้มไว้ ถอดแผ่นซีดีออกจากเครื่องไรท์แล้วหยิบใส่กล่องที่เตรียมไว้ นาฬิกาตอนนี้ สามทุ่มแปดนาทีแล้ว
“ยะฮู้ เสร็จแล้วโว้ยยย” ผมรีบโกยงานทั้งหมดกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปวางไว้ให้ที่ห้องผู้จัดการที่กลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
และรีบกลับมาโกยของใส่กระเป๋าเตรียมกลับบ้าน
อ๊ะ.. ไม่ใช่สิ เตรียมไปเที่ยวต่อครับ
ต่อให้รีบยังไงผมก็ไม่ลืมที่จะปิดไฟตามที่ป้าแจ๋มบอกไว้
ก็เห็นแกพูดเพราะอย่างนี้ เวลาแกด่าแกก็ไม่น้อยหน้าบรรดาแม่ค้าที่ตลาดเลยล่ะครับ ใครๆก็รู้


ผมเดินลงลิฟท์ออกมารอรถที่ป้ายรถเมล์หน้าตึกตระหง่านที่ออฟฟิศของผมแทรกตัวอยู่ที่ชั้น 19 นั่น
ที่ป้ายรถเมล์ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
นานแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้มายืนรอรถที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้
เพราะปกติผมจะขับรถมาและกลับเองตลอด ซึ่งมันก็สบายดี

ผู้คนที่นี่มีมากมายหลากหลาย อาจเป็นเพราะตึกนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่แวดล้อมไปด้วยห้างร้านมากมาย รวมไปถึงวัด ตลาด และตึกที่กำลังสร้างใหม่
เสียดายที่รถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินไม่ได้ผ่านที่ถนนเส้นนี้
ไม่เช่นนั้นผมคงไม่ต้องมารอรถเมล์อยู่อย่างนี้





ยืนรออยู่ 15 นาทีแล้ว
ทำไมรถที่ผมต้องการจะไปยังไม่มาถึงซักทีนะ
ผมหงุดหงิดอีกแล้ว วันนี้มีเรื่องให้หงุดหงิดมากมายเหลือเกิน
จนบางทีผมก็นึกเบื่อขึ้นมาตะหงิดๆ
ผมเบื่อที่ต้องทำงานดึกๆ บ่อยๆ
เบื่อที่บางทีไม่มีใครช่วย
เบื่อเจ้านายที่ชอบมาให้งานตอนใกล้เลิก
เบื่อรถเมล์มาช้า


ผมยืนหมุนไปหมุนมาด้วยความหงุดหงิด
อยู่ๆก็มีมือมาสะกิดที่ข้อศอกผม ผมหันขวับไปมอง
“พี่ๆ ขอตังค์หน่อยดิ”
“ผมไม่มีตังค์กินข้าว นะพี่ๆ”
เด็กเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ยืนยกมือไหว้ส่งสายตาอ้อนวอนมาที่ผม
ผมส่ายหัวคิดในใจ “แม่ง กูยิ่งหงุดหงิดอยู่นะ”
“นะครับพี่ นะ” มันยังอ้อนไม่เลิก ผมส่ายหัวอีกครั้งโดยพยามไม่สบสายตาของเด็กคนนั้น เพื่อที่จะได้ไปๆซักที
เด็กคนนั้นคงเห็นท่าว่าจะไม่ได้จึงเดินผละไปหาสาวออฟฟิศที่ยืนถัดจากผมไป
แล้วก็เช่นเดิม ไม่มีใครให้เลย
ผมเบนความสนใจจากรถเมล์ที่รอนานมาที่เด็กคนนี้เผื่อจะได้ลดความหงุดหงิดจาการรอคอยลงไปบ้าง
ผมอยากรู้ครับว่าจะมีใครให้เงินเขาหรือไม่
แต่ผมว่าคงยาก
เพราะทุกคนมีทีท่าเฉยชาและปฏิเสธด้วยการเดินถอยหลังตั้งแต่เด็กคนนั้นยังมาไม่ถึงตัวด้วยซ้ำ
เด็กคนนั้นยังคงไม่ลดละความพยาม
เดินขอไปเรื่อยๆ
จนไปหยุดอยู่ที่ชายแต่งตัวมอซอคนหนึ่ง
ผมเดาว่าเขาคงเป็นช่างก่อสร้าง เพราะผมเห็นที่กางเกงสีซีดของเขามีคราบปูนคราบสีติดอยู่

“จะได้เร้อออ ไอ้น้อง ขอไม่เลือกคนเลยนะ” ผมนึกในใจ และยืนสังเกตพฤติกรรมเขาทั้งสอง

ชายคนนั้นกลับมองมาที่เด็กน้อยคนนั้นด้วยสายตาครุ่นคิดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง
แล้วเขาก็ล้วงลงไปในกางเกงยีนส์เก่าซีด ที่มีรอยขาดวิ่นและคราบสกปรกนั้น
พร้อมกับกำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา
เมื่อแบมือออก
ในระยะที่ผมพอจะมองเห็นได้
ผมมองไม่เห็นแบงค์กระดาษใดๆ
นอกจากเศษเหรียญบาทปนเหรียญห้าและเหรียญสิบไม่กี่เหรียญเท่านั้นอยู่มือเขา
เขาเลือกเหรียญสิบออกมาหนึ่งเหรียญแล้วยื่นให้เด็กน้อยคนนั้น มองด้วยสายตาเข้าใจแล้วพยักหน้าให้
เด็กน้อยรีบรับด้วยความปีติ พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มเต็มแก้ม



มุม_illast copy



สิ่งทีเกิดขึ้นมันกลับทำให้ผมประหลาดใจและเกิดความรู้สึกบางอย่างในส่วนลึกของจิตใจขึ้น
เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายและเป็นภาพที่ยากจะพบเจอจริงๆ

หลังจากที่เด็กน้อยเดินจากชายหนุ่มคนนั้นไปไม่นานรถเมล์ที่ผมรอก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอด
ผมก้าวเท้าขึ้นไปยืนตรงกลางรถที่มีคนยืนอยู่บ้างประปราย
กระเป๋ารถเมล์เดินมาเก็บค่ารถ
ผมหยิบแบ็งค์ใบละยี่สิบออกมาจากกระเป๋าเสื้อและจ้องมองดูมันขณะที่ใจยังนึกถึงภาพชายหนุ่มและเด็กน้อยเมื่อสักครู่
“เก็บค่าโดยสารด้วยค่า” กระเป๋ารถเมล์หญิงร่างใหญ่มองผมตาเขม็ง
เมื่อเห็นว่าผมไม่ยอมส่งเงินให้เธอซักที
ผมรีบยื่นแบ็งค์ใบนั้นให้
และรับเศษเหรียญกลับมาในอุ้งมือ
ผมมองเศษเหรียญเหล่านั้นอีกครั้ง
ก่อนเก็บลงในกระเป๋าเสื้อเชิร์ต
แล้วเหม่อมองออกไปที่หน้าต่างรถเมล์









เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุที่โชเฟอร์เปิดไว้ให้ความบันเทิงกับผู้โดยสารแว่วผ่านหูผมเข้ามาพร้อมเสียงลมที่หน้าต่าง



ภาพที่ป้ายรถเมล์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง...
และเหมือนฟิล์มที่ถ่ายย้อนกลับ
ผมที่รำคาญใจกับเด็กจรจัดที่มาขอเงิน
ผมที่หงุดหงิดกับการอรถเมล์
ผมที่หัวเสียกับการที่เจ้านายมาบอกให้ช่วยทำงานให้ตอนใกล้เลิกงาน
ผมที่พาลเบื่อกับการที่ต้องทำงานดึกๆบ่อยๆ


หากผมลองมองอีกด้านหนึ่ง มองในอีกมุมหนึ่ง
ผมจะยังโกรธและหงุดหงิดอยู่หรือเปล่านะ




สามทุ่มห้าสิบ
ผมคิดหาคำตอบไปเพลินๆ
ไม่นานก็มาถึงที่หมาย
ความหงุดหงิดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ผมสาวเท้าเข้าสู่สถานีรถไฟฟ้า
เพื่อมุ่งหน้าไปสู่สถานที่นัดพบกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน...

ยังไงก็ผ่านมาได้อีกวันหนึ่งแล้ว...ผมบอกกับตัวเอง...






...............................................


หมายเหตุ: - เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นค่ะ อยากลองเขียนเป็นผู้ชายดูบ้าง ไม่รู้เหมือนผู้ชายเค้าพูดกันป่าว
แต่ภาพที่เห็นที่ป้ายรถเมล์เป็นเรื่องจริงที่เห็นเองสมัยเรียนปี 2 และประทับใจติดตามาจนถึงทุกวันนี้=)
- ขอบคุณพี่พีค ที่ปรึกษาเรื่องโค้ดใส่เพลงและเอื้อเฟื้อเพลงเพราะๆ ค่ะ

Comments

v74 said…
น่าสนใจดีนะ
พี่ก็ไม่ใช่นักอ่านหนังสือตัวยง . . . ก็ไม่รู้จะเอาไปเปรียบเทียบ หรือ ยกข้อมูลหรือ case study ที่ไหนมาเปรียบเทียบได้

เอาแบบส่วนตัวก็รู้สึกว่า plot เรื่องมันง่ายดี ธรรมดาดี
ดูเหมือนไม่น่ามีอะไรให้เขียนได้ แต่ก็เขียนออกมาได้น่าสนใจ

...แต่มันไม่กระชาก หรือ กระแทกอารมณ์เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าอยากให้อ่านแล้วรู้สึกยังไง?

เรื่องตอนทำงานของเย็นวันศุกร์ เกริ่นนำมาเหมือนจะมีอะไรเชื่อมโยง+นำพาไปสู่ climax แต่เหมือนมันไม่สัมพันธ์กันกับเรื่องสะท้อนใจของชายช่างก่อสร้างกับเหรียญ 10 ปลิดวิญญาณเหรียญนั้นน่ะ . . . เลยทำให้รู้สึกว่าฉากทำงานมันยังเป็นส่วนเกิน หรือ ฉากจบของเรื่องนี้มันยังมาไม่ถึง

ทำงานหงุดหงิด > จะไปแดกเหล้า > ออกมายืนรอรถ แล้วเจอเหรียญ 10 พิฆาตใจ . . . .

เจอแล้วส่งผลอะไรต่อ?
แดกเหล้าทัน? โดนด่า?
บทสนทนาในวงเหล้าที่น่าจะเปลี่ยนไปหลังจากโดนพิฆาตใจไปแล้ว...

เหมือน scene เหรียญ 10 จะเป็น main point ของเรื่อง ?

ไม่ต้องสนใจ comment นี้หรอกครับ เพราะมา comment เอามันส์ (แต่ไม่ได้มาป่วน).....ไม่ได้แปลว่าปรับตามแล้วจะทำให้เรื่องนี้ดีขึ้น . . . อาจจะฉิบหายมากขึ้นก็ได้....แค่อ่านแล้วมันไม่ได้อย่างใจอยากก็แค่นั้น


*** เขียนเป็นผู้ชายด้วยเพศหญิงก็ยากเข้าไป . . . เป็นงานทดลองที่น่าสนใจครับ
Anonymous said…
ที่สองงงงงงงงงงงงงงงง

ผู้ชายพูดไงไม่รู้อาจพูดไม่เหมือนกัน บางคนสุภาพ บางคนหยาบ อยากได้หยาบ ไปเอาคำมาจาก blog พี่ ฮ่าาาาา

วิจารณ์ในฐานะผู้อ่านนะ การเดินเรื่อง รายละเอียด ควรชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคในการทำงาน ความวุ่นวาย ยุ่งยาก ในการทำงานแข่งกับเวลา ลองนึกเป็นตัวเรา เรากำลังรีบไป นาฬิากาบนข้อมือแม่งเดิินเร็วฉิบหาย อ่าวไอ้เหี้ยเอ๊ย เครื่องแม่งช้า......สัตว์เอ๊ย ฆวย ละ

เสียงท้องร้อง จ๊อกๆ หิวข้าวสัตว์ ไอ้เหี้ยนายก็ใช้กูอีก ไอ้แม่ย้อย
ขมับเต้นตูบๆ ปวดหัวฮิบหาย จะทันนัดไม๊เนี้ย

เรื่องราวขาดรายละเอียด อากาศข้างนอกเป็นไง คนเยอะ แล้วร้อนไม๊ อบไม๊ เบียดๆ อ่าวเด็กมาขอตังส์

รำคาญ กูยิ่งรีบ วันนี้มรสุมเพียบ ไม่ให้โว้ย นึกในใจ

มองชายมอมอควักตังส์ให้เด็กขอทาน

ใจมันแป้ว ใจมันวูบ

ชีวิตหนุ่มออฟฟิต ทุ่มเทงาน กาย ใจ ให้งาน แต่ไม่อาจมีเวลาหรือใจ สละให้เพื่อนมนุษย์ ไม่มีเวลาแม้เผื่อแผ่


พูดง่ายๆ ควรมีบทกดดันที่ทำงานมากกว่านี้

แล้วมาถึง จุด climax

ตรงนี้ต้องเผื่อเวลานิดนึงบรรยายความรู้สึก ความต่าง ระหว่างคนที่มีพร้อมในสังคม กับช่างปูนมอซอ แต่จิตใจที่หยาบกลับมีในตัวตน


เอ่อ ใช้ได้นะ Plot ง่ายๆ เรียบๆ ตอนจบสะท้อนสังคมดี


เขียนอีกๆ
Anonymous said…
คือ อ่านเรื่องแจงแล้ว มันรู้สึกเย็นๆไป แจงอาจจะเย็นเวลางานเยอะและต้องรีบ

แต่เป็นพี่มันจะ ปึงปัง จะร้อน จะแรง จะเป็นผู้ชาย พอมาอ่าน แล้วมันเย็นๆ เนื้อเรื่องมันเย็น มันขัดกับ สถานการณ์ว่า

กูรีบนะสาด
Anonymous said…
เราอ่านแล้วชอบนะ แต่อย่างที่คนอื่นๆบอกแหละว่ารู้สึกขัดๆกับการแสดงออกที่สุภาพกับคำพูดที่ดูหยาบๆ แต่มันได้ความรู้สึกแบบคนเมืองดีนะ ตอแหๆหน่อยๆเนี้ย
เราอ่านแล้วเรารู้นะว่าเป้นผู้หญิงเขียน เนื้อเรื่องน่าสนใจ ถ้าปรับปรุงเรื่องลูกเล่น หรือช่วงสำคัญของเรื่องให้มันมีการเฉลยด้วยการเล่าที่ดึงดูดความสนใจมากขึ้นจะดีขึ้นนะ

เอา เขียนมาอีกจะรออ่านนะจ๊ะ
dogdoy said…
มาแปลกดีวุ้ย
แต่รู้สึกเหมือนๆกับผู้ชายคนอื่นๆ เรื่องมันแบ่งเป็นสองช่วงที่ไม่ค่อยจะมีความสัมพันธ์กันเท่าไหร่
คืออาจจะไม่ชัดเจนน่ะ เรื่องเด็กมาขอตังแต่คนทำงานดีดีเงินเยอะๆไม่ให้ กลับเอาไปกินเหล้ากัน(สูญเปล่ากว่า)
แต่ถ้าตอนต้นปูพื้นให้แรงๆว่าอยากจะไปกินเหล้าแต่ติดโน่นติดนี่ (คือเราอ่านแล้วคาดเดาไว้ว่าจะอดไปไรงี้) แล้วเป็นว่าต้องมีเหตุให้ช้าแต่เป็นเพราะว่าเด็กมาขอตัง แต่มันมีจุดที่ทำให้ความล่าช้านั้นส่งผลดีในตอนจบของเรื่อง จนตัวเอกคิดได้ว่า 'เฮ้ย! ชีวิต จะรีบไปทำไม' อะไรแบบนี้ อาจจะดูกลมกลืนกับเนื้อเรื่องตอนต้น

หรือตอนต้นไม่ได้เร่งรีบแต่มีเรื่องต้องใช้เงินใช้จ่ายค่านู่นค่านี่ สารพัด อาจจะหยิบบิลล์ต่างๆมาดู มีสลิปบัตรเครดิตมา เสียค่าเหล้า ค่าเที่ยว ค่าอะไรต่อมิอะไรที่มันไม่ได้มีความจำเป็นกับชีวิต
แต่พอมาเจอเด็กที่มาขอเงินเล็กๆน้อยๆ กลับไม่ยอมให้
แล้วตอนหลังก็มาคิดไปว่า ถ้าเอาเงินที่จ่ายค่าไร้สาระพวกนั้นไปให้คนอื่นบ้างมันจะเดือดร้อนตรงไหนวะ?
อะไรแบบนี้

เป็นแนวแบบของเรานะ อย่าเชื่อครับ! เพราะมันจะทำให้คุณขาดความเป็นตัวของคุณเอง

แต่อ่านแล้วยังเห็นความเป็นหญิงออกมาอยู่ดี(นมแลบ!) คือมันเหมือนจะหยาบ แต่เกร็งๆ เหมือนไม่คุ้นในความหยาบ แต่พยายามลองเอามาใช้

สุดท้ายนี้ขอชื่นชมที่พยายามเขียนออกมาครับ เราเขียนไม่ได้จริงๆว่ะแนวนี้(ตบหัวแล้วตบหัวอีกที แล้วลูบหลัง)

ป.ล. เพลงที่เอาใส่มันมาผิดจังหวะไปด้วยว่ะ ถ้าเพลงมันดังตอนช่วงที่ยืนบนรถเมล์ก็จะดีมากเลย หรือไม่ก็เขียนแค่เป็นเนื้อเพลงบอกเล่าเนื้อหาที่พระเอกได้ฟัง

ชื่นชมว่ะ จากใจไอ้หมา(อีกตัว)
จุ๊บ said…
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นต์..อย่างยาวววว
ชอบค่ะชอบ
ชอบให้ติเยอะๆค่ะ ถ้าหากว่ามันยังมีจุดที่เป็นจุดบอด
แล้วก็มีเยอะอย่างที่บอกไว้จริงๆ

ความจริงตอนที่เขียนก็พอจะรู้อยู่แล้วว่ามันยังไม่ที่สุดหรอก
แต่ทำไมยังเขียนและเข็นออกมา??
ต้องบอกว่าเข็นเพราะตอนเขียนไฟตก..อีกแล้ว..แต่โชคดีที่ยังเหลือที่เซฟไว้ 1 ใน 3
ทำให้ต้องเขียนใหม่และอารมณ์ไม่เท่าเดิม
เลยใช้เวลาบิวท์หลายวัน
คือมันอยากเขียนแต่พอเขียนซ้ำมันไม่ได้อย่างเดิมทำให้ยิ่งเขียนช้าลงไปอีก

แล้วที่เขียนออกมาก็เพราะมีแรงจูงใจบางอย่างค่ะ
เดี๋ยวบล็อกคราวหน้าจะเล่าให้ฟังว่าเป็นแรงจูงใจอะไรนะคะ(_^)

และแรงจูงใจจุดนั้นมันเริ่มชัดขึ้นเพราะอาการเนือยๆก่อนหน้านี้นี่เอง
ซึ่งก็มีผลจากความเครียดเรื่องงาน
แต่ก่อนหน้านี้ พอดีได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับแนวคิดในการดำเนินชีวิตแนวธรรมะ ที่เพื่อนเค้าอ่านมาแล้วบอกว่าดี เลยไปซื้อมาอ่านตอนที่ว่างๆ บวกกับที่ได้ฟังเพลงก่อนมะลิบานจากพี่พีค
ทำให้เราฉุกคิดว่าบางครั้งก็ต้องลองมองมุมกลับจากอีกฝ่ายดูบ้าง
มันอาจจะทำให้เราเข้าใจและรู้สึกดีขึ้น
ซึ่งก็ช่วยได้ดี เหมือนกัน
แล้วภาพของเหตุการณ์เหรียญสิบมันก็สว่างขึ้นมาในหัวค่ะ...ภาพที่จำติดตา
ในวันนั้น..วันที่เห็นรู้สึกว่าช่างก่อสร้างคนนั้นเค้าคงมองมุมกลับ ในขณะที่คนที่อื่นๆหรือแม้แต่ตัวเราที่พอมีพอกินกลับมองแต่แค่ในมุมของตัวเองเป็นส่วนใหญ่
จะเพราะความเคยชิน การแข่งขันสูง หรืออะไรก็ไม่รู้
ก็เลยอยากถ่ายทอดภาพนี้ให้คนอื่นๆบ้าง

ตอนแรกก็ว่าจะเล่าแค่เรื่องเหรียญสิบ แบบเล่าเป็นประสบการณ์ธรรมดา บอกเล่าสู่กันฟังเท่านั้น
แต่ก็อยากจะลองเขียนเรื่องสั้นดู
ก็เลยพยามปะติดปะต่อ ให้เกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา

ส่วนตอนจบของเรื่อง ตอนแรกคิดไว้ว่าฉากเหรียญสิบ อยากจะให้มีผลอะไรกับตัวละครเหมือนกัน อย่างเช่นอาจจะทำให้ภูริ เกิดไม่ไปสำมะเลเทเมากับเพื่อนๆ หรือ..อะไรอื่น
แต่พอมาคิดว่า ในชีวิตจริงคนเราบางครั้งถึงแม้ว่าจะเจออะไรที่มันกระชากใจ แต่มันก็อาจจะเป็นแค่เสี้ยวเดียว เพราะซักพัก คนก็จะลืมมันและกลับไปอยู่กับปัญหาอื่นๆต่อ
แค่อยากให้เห็นว่าเรื่องดีๆเล็กๆ ทำให้คนเราฉุกคิดอะไรดีๆเล็กๆ ขึ้นมาบ้าง
ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว
วันข้างหน้าเค้าก็อาจจะดึงจุดเล็กๆนี้มาเป็นแรงใจได้อีกก็ได้ ถึงแม้วันนี้จะได้แค่มองและรู้สึก
ก็เลยปล่อยให้ภูริไปกินเหล้ากับเพื่อนต่อไป..

ความไม่เคยชินกับศัพท์ของผู้ชาย(ถึงแม้จะเคยได้ยิน)
การเน้นไปที่เรื่องของเหรียญสิบมากเกินไป(เพราะอยากเล่า)
ความใจร้อนอยากเขียนให้จบ
และความอ่อนหัด(^_____^)

ทำให้ใส่ใจกับรายละเอียดส่วนอื่นน้อยเกินไป
อันนี้น้อมรับจริงๆค่ะ
และน้อมรับทุกคำวิจารณ์จากทุกท่าน อิ อิ
คิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะลอง revise การเขียนซะใหม่แต่ใช้พล็อตเดิม ดูซิว่าจะเป็นยังไงค่ะ


อีกเรื่อง..ที่อยากบอกคือสนุกมากค่ะ ที่ได้เขียนออกมา
จริงๆนะคะ..ไม่ได้โม้(^_____^)/
จุ๊บ said…
อ้อ.. ใครมาอ่านหลังจากนี้ก็คอมเม้นต์ต่อได้เลยนะจ๊ะ(ถ้าอยาก) ยังกลับมาอ่านและตอบอยู่จ้ะ
dogdoy said…
อ้อ... บอกซะตั้งแต่แรกก็ไม่โดนตบหัวไปสองทีแล้ว

สนุกกับการเขียนก็เขียนออกมาอีกนะ มีหนุ่มๆรออ่านอยู่หลายคนเล้ย

ว่าแต่บล๊อคนี้ไม่มีหญิงเข้ามาบ้างเลยหรือไงเนี่ย
จุ๊บ said…
ก็อยากให้คอมเม้นต์กันก่อนไง
จะได้รู้ความคิดใน >มุม< ของคนอื่นบ้าง อิอิ

ก็จะเขียนเรื่อยๆแหละนะ ถ้ามีช่วงที่ว่าง
ถึงจะไม่มีใครมารออ่าน ก็เขียนนะ..ชิ
555555

จริงๆก็บอกแอ็ดเดรสไปทั้งหญิงชายนะ
แต่ไม่รู้ทำไม สาวๆไม่ค่อยคอมเม้นต์กัน
งง..หรือว่าเพื่อนผู้หญิงไม่คบเราวะ(_-)?

ไม่หรอกกม้างงง
คงขี้เกียจคอมเม้นต์มากกว่า อิอิอิ
เอ้า สาวๆ เข้ามาช่วยโพสคอมเม้นต์กันหน่อยนะจ๊า..(^___^)
Anonymous said…
ฮัลโหลเทสส์

หลังจากอ่านจบ ก็เลยมาร่วมแสดงความคิดเห็นให้แจงด้วยคน อ่านแล้วงงในตอนแรกๆ นิดหน่อยไม่รู้เพราะรีบอ่านไปหรือป่าว เลยต้องกลับมาอ่านใหม่ว่า ใครเป็นคนพูด แล้วกำลังจินตนาการหน้าตาคนพูดจากสำเนียงว่าหน้ามันจะเป็นยังไง
พออ่านๆ ไปก็เดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ดูเป็นธรรมชาติ สบายๆ อ่านแล้วเหมือนจะจบหลายครั้งแต่ไม่จบพออ่านไปอีกหน่อยก็เหมือนแจงจะตบท้ายให้จบอีกแต่ก็ยังไม่จบอีก พอคิดว่ายังจะมีต่อ ก็ดันจบซะงั้นแหล่ะ

ด้วยสำเนียงการเล่าเรื่อง ถ้าเล่าถึงตอนกินเหล้ากับเพื่อนด้วยน่าจะมันส์ แล้วตบท้ายกับเหตุการณ์ที่เจอในตอนจบ ถึงผลที่ได้จากการเห็นเด็กคนนั้น

แบบว่าเหมือนรมณ์ค้างหน่ะ มาทำให้อยากอ่านแล้วจากไป แต่ถือว่าเริ่มต้นได้ดีจ้า สู้สู้
จุ๊บ said…
...แบบว่าเหมือนรมณ์ค้างหน่ะ มาทำให้อยากอ่านแล้วจากไป...

5555555 มันเป็นงั้นจริงเหรอ (^___^)

อะ อย่างเต่านานี่ถือว่าเป็นหญิงปะ ด๋อย อิอิอิ